อาหารสำหรับคนพักผ่อนน้อย ทำไงให้ร่างกายสดชื่น

สำหรับวิถีชีวิตในปัจจุบันของคนเรานั้น ต้องเรียกได้ว่ามีสิ่งกระตุ้น หรือสิ่งเร้ามากมาย ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิมเอามากๆ เช่น จากที่เคยนอนแต่หัวค่ำ หลังจากการทำงานในแต่ละวัน ก็เปลี่ยนเป็นนอนดึกมากขึ้น

องุ่น ผลไม้บำรุงเลือด และยาอายุวัฒนะ

องุ่น เป็นผลไม้ที่หลายๆ คนรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยเจ้าองุ่นนี้ มีถิ่นกำเนิดในประเทศทางแถบทะเลเมดิเตอเรเนียน ดังนั้นมันจึงสามารถเจริญเติบโตได้อย่างดี ทั้งในเขตหนาว และเขตกึ่งร้อนกึ่งหนาว

ประโยชน์เหลือล้นของ สตรอเบอรี่

สตรอเบอรี่ เป็นผลไม้ในวงศ์กุหลาบ มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม แต่เดิมนั้นถูกใช้เพื่อปลูกคลุมดิน ต่อมาได้มีการนำเอาผลสตรอเบอรี่มารับประทานเป็นอาหาร และแปรรูปเป็นของกินอื่นๆ อีกหลากหลายชนิด

ผัก ธัญพืช ต้านโรคหัวใจ

โรคหัวใจ เป็นภาวะของโรคที่พบเห็นได้บ่อยมากในปัจจุบัน เพราะลักษณะนิสัย การดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิมของคนเรา คือเน้นการทำงานบนโต๊ะ หรือในออฟฟิศมากขึ้น แต่กลับกินอาหารที่มีพลังงานสูงเข้าไปในแต่ละมื้อแทน

อาหารและเครื่องดื่ม สำหรับแก้อาการเครียด

ความเครียด เป็นภาวะทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ที่มักเกิดขึ้นกับร่างกายของคนเรา ในยามที่เกิดความทุกข์ ความไม่สมหวัง ซึ่งนอกจากความเครียด จะส่งผลเสียต่อจิตใจ เช่น ทำให้ไม่ร่าเริง ไม่มีความสุขแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอาการผิดปกติของร่างกาย

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

สูตรมาร์คหน้าด้วยธรรมชาติ เพื่อผิวหน้าขาวใส ไร้สิว ไร้ริ้วรอย สวยสดใส


ด้วยยุคแห่งมลพิษ และความเหนื่อยล้าจากสายลมแสงแดด หรือความเครียดจากการทำงานหนัก นอนดึก ออกงานบ่อย พักผ่อนน้อย ล้วนส่งผลกระทบต่อผิวหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณผู้อ่านไม่ควรมองข้าม  วันนี้จึงมีสูตรจากธรรมชาติและข้อดีของสมุนไพรหรือผักผลไม้สดๆที่นำมามาร์คนั้นแน่นอน เราจะได้รับคุณค่าอย่างเต็มที่ เหมือนเรากินผักผลไม้สดๆนั่นเองค่ะ สูตรมาร์คหน้าง่ายๆ
1. มาร์ค ว่านหางจระเข้ 
ตัดว่านหางจระเข้มาสัก 1 กาบไม่ต้องใหญ่มาก ปอกเปลือกออกให้หมดเอาแต่ส่วนของเนื้อใสมาใช้ นำเนื้อใสหรือวุ้นที่ได้มาปั่นเนียนละเอียดแล้วทาให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาและริมฝีปากเอาไว้ทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 20 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น มีข้อควรระวังคือหากเป้นผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายไม่ควรใช้สูตรนี้ เพราะอาจเกิดการระคายเคืองได้และควรระวังยางสีเหลืองๆ ของว่าน สูตรนี้นอกจากจะสามารถลอกฝ้าได้แล้ว ยังมีผลในการช่วยบรรเทาสิวอักเสบ และลบเลือนจุดด่างดำบนใบหน้าได้ด้วย
2. น้ำมะนาว + นมผงของเด็ก
นำน้ำมะนาว + นมผงของเด็กและน้ำสะอาดอย่างละ 1 ช้อนชามาผสมรวมกันให้ดี จากนั้นนำมาพอกที่ใบหน้าประมาณ 20 นาที พยายามอย่าขยับเขยื้อนใบหน้าในช่วงนี้นักเพราะอาจทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายเมื่อครบตามกำหนดเวลาแล้วให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ แล้วซับหน้าเบาๆ จะรู้สึกได้เลยว่าผิวหน้าของคุณดูกระจ่างใสขึ้นเนื่องจากการทำงานของกรดในมะนาวและมีความนุ่มชุ่มชื้นจากนมผงอยู่ด้วย
3. มะเขือเทศ 
ใครอยากหน้าสวยใส แถมมีเลือดฝาดแดงระเรื่อเหมือนผิวเด็ก ต้องลองสูตรนี้เลย !วิธีทำ นำมะเขือเทศ 1 ลูกมาบดหรือปั่นพอแหลกหรือจะฝานเป็นชิ้นหนา ๆ แล้วนำมานวดให้ทั่วใบหน้าและลำคอ วิตามินซีและกรดผลไม้ในมะเขือเทศ จะช่วยลอกผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกได้
4. น้ำผึ้ง+แตงกวา 
สูตรนี้สำหรับผู้มีปัญหารูขุมขนกว้าง วิธีทำ ใช้น้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา ผสมกับแตงกวา 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำไปปั่นให้ละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วจึงนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็นจัดๆ หรือน้ำแช่น้ำแข็ง เพียงเท่านี้หน้าของคุณก็จะเรียบเนียนขึ้นได้
5. โยเกิร์ต 
นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย (อาจแช่ตู้เย็นเพื่อเพิ่มความสดชื่นในที่ขณะพอกหน้า) ทาทิ้งไว้ให้ทั่วใบหน้าแล้วใช้ปลายนิ้วนวดเบา ๆ ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น จุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส แลคติค และวิตามินบีที่อยู่ในโยเกิร์ตจะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกบนรูขุมขนและบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื่น เนียนสดใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ถือเป็นเคล็ดลับความขาวใสที่สาว ๆ สามารถทำใช้ได้ทุกวัน
6. มะขามเปียก น้ำผึ้ง และมะนาว
ใช้เนื้อมะขามเปียก 1 กำ แยกเอากากและเม็ดออก ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และ มะนาว 1 ช้อนชา ผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำเอามาพอกหน้าไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออก ทำเป็นประจำสัปดาห์ 2 ครั้ง จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วทำให้ผิวหน้าขาวขึ้นได้
7. กล้วยหอม
 ผลไม้สีเหลืองสดนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังทำให้ผิวหน้าสวยนุ่ม ชุ่มชื้น และสามารถแก้ปัญหาผิวได้หลายอย่างเลยทีเดียว เพียงนำกล้วยหอมสุกมาบดให้เป็นเนื้อละเอียดแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที เท่านี้ก็เตรียมอวดผิวสวย ๆ ให้คนอื่นอิจฉาได้เลย
8. ดินสอพอง
นำดินสอพองมาผสมน้ำเปล่าให้เป็นเนื้อครีมข้น แล้วทาทิ้งไว้ให้ทั่วใบหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้ 15-20 นาที ดินสอพองจะดูดซับความมันบนใบหน้า ดีท็อกซ์สารตกค้างที่เกาะติดอยู่บนผิว ทำให้ผิวหน้าดูสวยเด้ง แถมยังช่วยป้องกันแสงแดดได้อีกด้วยนะ
9. น้ำส้มคั้น+นมสด
โดยนำส้มมาคั้นให้ได้น้ำประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นใส่นมสดผสมลงไป 1 ช้อนโต๊ะ คนจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดี แล้วจึงนำสำลีก้อนมาชุบและถูให้ถั่วไปหน้าเบาๆ เว้นบริเวณรอบดวงตาและปากทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ
10.  สูตรแตงกวา+ไข่ขาว
เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาหน้าที่มีความมัน และปัญหาเรื่องสิวมากๆ นำแตงกวา 1 ลูก ไข่ขาว 1 ฟอง น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทำการพอกบนใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
11. ขมิ้นและนมสด
ขมิ้นอยู่ในอันดับต้น ๆของ ตำราสมุนไพรที่ใช้บำรุงผิวพรรณของคนในสมัยก่อน เพราะขมิ้นจะช่วยให้ผิวพรรณนุ่มนวลผ่องใส สะอาดเกลี้ยงเกลา เพียงนำผงขมิ้น 1 ถ้วยผสมกับนมสด 3/4 ถ้วย ผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกลงบนผิวขณะอาบน้ำ ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที ทำเป็นประจำทุกวัน รับรองผิวขาวเนียนนุ่มสุด ๆ

สูตร13 นานาน้ำตะไคร้ คลายร้อน ดวงตาสดใส


ตะไคร้พืชล้มลุกที่พบประจำในครัวเรือนไทย นานาด้วยประโยชน์มากมาย นอกจากนำมาประกอบอาหารหลายรูปแบบแลัว ยังมาทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแสนอร่อยได้ด้วยค่ะ
ส่วนผสม 
1. ตะไคร้           1    ต้น
2. น้ำเชื่อม       1    ช้อนคาว
3. น้ำเปล่า       14    ช้อนคาว
วิธีทำ
1. ล้างตะไคร้ให้สะอาด หั่นเป็นท่อนเล็กๆ ทุบให้แตก
2. ต้มกับน้ำให้เดือน จนน้ำเป็นสีเขียว
3. ยกกรองเอาตะไคร้ออก ปรับรสชาติตามใจชอบ
คุณค่าทางอาหาร
1. มี Vitamin A บำรุงสายตา
2. มี แคลเซียม ฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน
คุณค่าทางยา
1. แก้ทองอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด
2. ขับปัสสาวะ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ
3. ขับเหงื่อ ขับสารพิษตกค้างในร่างกาย
4. ลดความดันโลหิต
5. ขับประจำเดือน
6. บำรุงสมอง ช่วงให้สมาธิดี
7. แก้เมา แก้อาเจียณ
8. ทากันยุง กันแมลง
9. เป็นยาช่วยให้นอนหลับ

มะขาม (tamarind) ประโยชน์น่ารู้ กับความงามที่คุณต้องลอง


มะขาม
 มีชื่อทางวิทญศาสตร์ว่า Tamarindus indica  L มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีกิ่งก้านสาขาอยู่จำนานมาก ซึ้งในปรเทศไทยของเรานิยมปลูกมะขามกันมากในจังหวัด
จังหวัดเพชรบูรณ์ ‘ที่เขาเรียกกันว่า เพรชรบูรณ์เมืองมะขามหวานนั้นเอง ซึ้งมะขามมีประโยชน์แทบจะทุกส่วนไม่ว่าจะเป็น ราก ลำต้น ใบ ผล เมล็ด เปลือก โดยส่วนใหญ่จะนำมาบริโภค กันและ ทำประโยชน์จากเนื้อไม้ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เนื่องจากมะขามเป็นไม้ยืนต้น มะขามในไทยมีสองชนิดคือมะขามเปรี้ยวและมะขามหวาน โดยมะขามหวานมีหลายพันธุ์เช่น พันธุ์น้ำผึ้ง อินทผลัม หมื่นจง สีทอง โดยเรามักจะนิยมปริโภคผลมะขามกัน นอกจากเราจะรับประทานสดสดแล้วยังนำมาทำเป็นส่วนประกอบของเครื่องปรุงอาหารอีกด้วยไม่ใช่แค่ผลเท่านั้นที่เรามักบริโภคกัน ใบอ่อนของมะขามก็นิยมนำมาปรุงรสอาหาร เช่น แกงยอดมะขามอ่อนนอกจากบริโภคก็ยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคอีกด้วย

มะขามกับการรักษาโรค

ส่วนที่เรานิยมใช้กันได้แก่ ผล เปลือก ราก ใบ และเมล็ด
โดยผลหรือเนื้อในฝักของมะขามจะช่วยในเรื่องของการแก้อาการท้องผูก เป็นยาระบายอ่อนๆ ยาถ่าย ขับเสมหะ แก้ไอ กระหายน้ำ และใช้เป็นยาสวนล้างท้องช่วยขับสารพิษในร่างกาย  ใบมะขามมีทั้งใบสดและใบแก่ โดยใช้เป็นยาถ่าย ยาระบายท้อง ขับลมในลำไส้ แก้อาการไอเป็นหวัด แก้โรคบิด  ขับเสมหะ ใช่น้ำคั่นหยอดตารักษาเยื่อตาอักเสบตามัว  ช่วยฟอกโลหิต ขับเหงื่อออก และในโบราณยังมีความเชื่อเอามาอาบหลังคลอดช่วยให้สะอาดและฟื้นฟูสุขภาพของคุณแม่ที่อยู่เดือนเพื่อที่จะได้หายเร็วขึ้น เมล็ดใช้ แก้อาการท้องผูก เป็นยาระบาย ถ่ายพยาธิไส้เดือนตัวกลมในลำไส้ พยาธิเส้นด้าย ขับเสมหะ แก้ไอ กระหายน้ำ เป็นยาสวนล้างท้องในส่วนของ ดอกสดใช้เป็น ยาแก้โรคความดันโลหิต ฝักมะขามดิบใช้ฟอกเลือด  ในส่วนรากจะใช้ สะมาแผลได้ดีและช่วยฆ่าเชื้อ เริม ฝีในมดลูกได้ จะเห็นได้ว่าแค่มะขาม1ฝักก็ช่วยในการรักษาโรคได้มากมายเพราะเนื่องจากในมะขามมีสารทางเคมีโดยใน ผลจะมีสารจำพวก Alcohols, Aldehydes; Citric acid Ketones, Vitamin B1, Essential Oil, Enzyme. /ใบมะขามมีสารAlcohols, phenolic esters and ethers. Sambubiose, Carboxylic acid, Oxalic acid/ส่วนเมล็ดมีPhosphatidylcholine, Proteins Glutelin, Albumin, Prolamine, Lectin และสารอารหารหลักจำพวก วิตามินเอและวิตามินซีสูง และยังมี โปรตีน คาร์โบไฮเดรต  แคลเซียม และฟอสฟอรัส มะขามเปียกมีสารกรดอินทรีย์ เช่น กรดซกรด กรดทาทาริค กรดมาลิค มีสารพวกกัม (gum) และเพคติน (pectin) ซึ้งร่างกายของเรามีความจำเป็นต่อการเสริมสร้างระบบการทำงานของร่างกาย

นอกจากนี้แล้วยังนิยมนำมะขามมาใช้เป็นผลิตภันฑ์เสริมความงาม


ผลิตภันฑ์ที่นิยมทำคือ สบู่  ผงขัดผิว โดยในมะขามจะมีกรดผลไม้ และสารจำพวกวิตามินที่สูงจึงส่งผลทำให้ผิวพรรณเปล่งปลัง ในสมัยก่อนชาวบ้านจะจะเอามะขาเปียกขัดผิว และเอาเปลือกมะขามไปตากแห้งจากนั้นเอามาบดและนำมาขัดผิงสามารถควบคุว ซึ่งปัจจุบันก็ได้แปรรูปมะขามจากแนวความคิดภูมิปัญญามาประยุกต์ใช้ โดยสบู่มะขามถั่วไปจะช่วยในเรื่องชำระล้างร่างกาย ปรับสภาพผิวให้เนียนและใสด้วยสารวิตามินcเป็นหลัก ส่วนผงขัดจะช่วยในด้านผลัดเซลล์ผิวที่ตายไปแล้วให้มีเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมา และยังสามรถควบคุมความมันบนใบหน้าซึ้งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวได้อีกด้วย ซึ้งผู้ที่อยากมีผิวสายแบบธรรมชาติสามารถหาผลิตภันฑ์หรือจะทำเองก็ได้ เพื่อความงามของสาวๆขอ ฝากมะขามไว้ในอ้อมอกอ้อมใจครับ
มะขามจัดได้ว่าเป็นผลไม้ทางเศรษฐกิจที่มีการนำมาแปรรูปต่างๆสร้างอาชีพและรายได้ให้กับเกษตรกรมากมายและนอกจากนั้น ยังเหมาะแก่ท่านที่มีโรครุมเล้าโดย เฉพาะปัญหาระบบขับถ่าย ลำไส้ เพราะมะขามมีสรรพคุณโดยตรงในเรื่องของการรักษาโรคอย่างตรงจุด ท้ายนี้สุขภาพดีหาได้ด้วยการดูแลตนเอง ยังไงก็ขอฝากมะขามผลไม้ฝักผลไม้เศรษฐกิจของไทย ไว้สำหรับท่านที่รักสุขภาพทุกคนด้วนะครับ



วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

อาหารสำหรับคนพักผ่อนน้อย ทำไงให้ร่างกายสดชื่น


สำหรับวิถีชีวิตในปัจจุบันของคนเรานั้น ต้องเรียกได้ว่ามีสิ่งกระตุ้น หรือสิ่งเร้ามากมาย ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิมเอามากๆ เช่น จากที่เคยนอนแต่หัวค่ำ หลังจากการทำงานในแต่ละวัน ก็เปลี่ยนเป็นนอนดึกมากขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือ การพักผ่อนน้อย ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลเสียต่อร่างกายได้หลายอย่าง เช่น สมองพักผ่อนไม่พอ ทำให้สามารถทำงานได้ไม่เต็มที่ ดวงตาดำช้ำ ตลอดจนปัญหาสุขภาพด้านอื่นๆ ดังนั้น สำหรับคนที่นอนน้อย วันนี้เราจะมาแนะนำอาหารที่เหมาะกับการรับประทาน เพื่อฟื้นฟูร่างกาย สำหรับคนพี่พักผ่อนน้อยมาฝากกัน
1. อาหารประเภทน้ำเต้าหู้ ไข่ เนื้อปลา และถั่ว ซึ่งในอาหารประเภทดังกล่าวนั้น จะมีสารอาหารที่เรียกว่า โคลีน (Choline) โดยสารดังกล่าวนี้ จะเป็นสารอาหารสำหรับสมอง เพราะว่าพฤติกรรมการนอนน้อย จะทำให้สมองไม่สามารถที่จะสกัดอาหารเองได้ ดังนั้นต้องเพิ่มสารอาหารดังกล่าว ให้กับสมองเอง โดยการกินเต้าหู้ เนื้อปลา และถั่ว ไข่ นั่นเอง
2. ข้างกล้องงอก และธัญพืชต่างๆ ข้าวกล้องงอก เป็นการนำเอาข้าวกล้องธรรมดา มาทำกระบวนการทำให้งอก ซึ่งจะได้สารอาหารประเภท กาบ้า (GABA) ตลอดจนวิตามินบี ที่อุดมอยู่ในข้าวกล้อง และธัญพืชต่างๆ จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง และช่วยให้สมองนั้นเกิดการตื่นตัว สดชื่นมากพอสำหรับการทำงาน หรือการใช้ชีวิตในวันนั้นๆทั้งนี้ข้างกล้องงอก และธัญพืชต่างๆ จะอยี่ในรูปของสินค้าพร้อมดื่ม หาซื้อได้ง่ายในร้านสะดวกซื้อทั่วไป เช่น น้ำข้าวกล้องงอก น้ำธัญพืช เป็นต้น
3. ดาร์กช็อกโกแลต หรือเครื่องดื่มประเภทโกโก้ เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับคนนอนน้อยมากกว่ากาแฟในตอนเช้าๆ เพราะในโกโก้ หรือ ดาร์ค ช็อกโกแลต นั้นจะมีสารฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยกระตุ้นให้เลือดขึ้นไปหล่อเลี้ยงสมองและหัวใจ ทำให้เกิดความสดชื่นมากกว่ากาแฟ นอกจากนั้นสารฟลาโวนอยด์ ในดาร์ก ช็อกโกแลต หรือโกโก้ ยังช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตอีกด้วย
4. น้ำใบบัวบก เป็น เครื่องดื่มที่ควรดื่มในตอนเช้า ภายหลังจากการพักผ่อนน้อย เพราะ เมื่อร่างกายพักผ่อนน้อย อาจจะเกิดการอักเสบ ยังส่วนอวัยวะต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก โดยเมื่อเราดื่มน้ำใบบัวบก มันจะเข้าไปปรับสมดุล และแก้อาการอักเสบต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย นอกจากนั้นแล้ว ใบบัวบกยังมีคุณสมบัติสร้างความสดชื่นให้กับร่างกาย ดังนั้นหากดื่มน้ำใบบัวบกในตอนเช้าหลังจากพักผ่อนน้อย จะทำให้สดชื่นและร่างกายสมบูรณ์พร้อมสำหรับภารกิจต่างๆ
5. ถั่วประเภทต่าง การกินถั่วเป็นอาหารเช้า หลังจากค่ำคืนที่พักผ่อนน้อย จะช่วยให้ร่างกายพร้อมสำหรับการทำภารกิจในแต่ละวัน เพราะว่าถั่วจะมีโปรตีน และสารอาหารประเภท โพแทสเซียม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้าง และซ่อมแซมระบบประสาทและสมอง ดังนั้นบอกได้เลยว่า หากพักผ่อนน้อย แล้วกินถั่ว มีประโยชน์และสดชื่นอย่างแน่นอน
6. ผัก และผลไม้ประเภทต่างๆ โดยเน้นผักผลไม้ ที่มีวิตามินบี และซีสูงๆ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมไปเนียล (Pineal Grand) ซึ่งต่อมดังกล่าวนี้ จะเป็นตัวทำให้เรารู้สึกง่วงหรือสดชื่นเลย ดังนั้นการกินผัก และผลไม้ เป็นอาหารเช้า หลังจากคืนที่นอนน้อย จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น ปลราศจากอากาศง่วงเหลา อ่อนเพลีย หรืองัวเงีย แต่แนะนำให้เป็นการรับประทานผักที่สด เช่น สลัดผัก เป็นต้น
7. อาหารที่มีโปรตีนสูง เพราะโปรตีนนั้นจะเข้าไปช่วยการซ่อมแซมส่วนที่ร่างกายสึกหรอไป โดยเฉพาะในภาวะที่ร่างกายพักผ่อนน้อย ยิ่งจะต้องการโปรตีนเพิ่มมากขึ้นในการทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงพร้อมสำหรับการทำภารกิจในแต่ละวัน นอกจากนั้นแล้วสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตก็สำคัญ เพราะนั่นคือพลังงานที่ร่างกายจะสามารถใช้งานได้ในวันนั้นๆ เพียงแต่ไม่ควรรับประทานมากไป เพราะอาจจะทำให้ร่างกายเกิดอาการง่วงเหงาแทน
8. น้ำเปล่า เป็น เครื่องดื่มที่จำเป็นอย่างมากสำหรับตอนเช้า เพราะน้ำจะช่วยในการดึงเอาอ๊อกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ร่างกายมีความรู้สึกสดชื่น ตื่นตัว นอกจากนั้นแล้ว น้ำยังเป็นตัวสร้างความสมดุล ของระบบต่างๆ ในร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถพร้อมสำหรับการทำงานได้ในแต่ละวัน แต่จากผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ควรเป็นน้ำดื่มในอุณหภูมิธรรมดา ไม่ควรเป็นน้ำเย็น เพราะร่างกายจะสามารถดูดซึมออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้เร็วกว่าน้ำเย็น

อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหาร ควรรับประทานให้ครบ 5 หมู่ ซึ่งจะได้ประโยชน์มากที่สุด

องุ่น ผลไม้บำรุงเลือด และยาอายุวัฒนะ


องุ่น เป็นผลไม้ที่หลายๆ คนรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยเจ้าองุ่นนี้ มีถิ่นกำเนิดในประเทศทางแถบทะเลเมดิเตอเรเนียน ดังนั้นมันจึงสามารถเจริญเติบโตได้อย่างดี ทั้งในเขตหนาว และเขตกึ่งร้อนกึ่งหนาว
ลักษณะของต้นองุ่นจะเป็นกึ่งไม้ยืนต้น กึ่งไม้เลื้อย ดังนั้นการปลูกจึงต้องมีการสร้างหลัก หรือ ไม้สำหรับให้กิ่งเกาะ เพื่อออกผล องุ่นนั้นจะออกผลเป็นพวง ใน 1 พวงจะมีลูกองุ่นเล็กๆ จำนวนหลายสิบลูก ตามแต่ละพันธุ์
ลูกองุ่นจะมีลักษณะเป็นผลกลมรี มีรสหวานอมเปรี้ยว ฉ่ำน้ำ มีสารอาหารหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนั้นมันจึงมักถูกนำมารับประทานเพื่อเป็นอาหารสำหรับคนที่รักสุขภาพ สำหรับสรรพคุณขององุ่นนั้น มีดังต่อไปนี้
– ผลขององุ่นนั้น กินสดๆ จะช่วยบำรุงปอด ตับ ไต ม้าม โลหิต คือจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการทำงานต่างๆ และล้างสารพิษที่ติดค้างอยู่ในอวัยภายในดังกล่าวได้ โดยเฉพาะส่วนของตับ ที่สารอาหารในองุ่น จะช่วยลดการสะสมของสารพิษที่เข้าสู่ตับ กระตุ้นการฟอกเลือด และสามารถควบคุมสมดุลของระบบต่างๆ ในร่างกายได้เป็นอย่างดี
– องุ่นมีวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 ตลอดจนเกลือแร่ ที่ช่วยในการสร้างความสดชื่นให้กับร่างกายได้อย่างชะงัด โดยน้ำตาลประเภทต่างๆ ในองุ่นจะเป็นตัวช่วยในการดูดซึมวิตามินต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย และน้ำตาลเหล่านั้น จะไม่เปลี่ยนรูปเป็นคาร์โบไฮเดรต ดังนั้น องุ่นจึงถือเป็นอาหารที่มีความเหมาะสมสำหรับผู้รักสุขภาพ
– ในองุ่น มีสารอาหารที่เรียกว่า โพลีฟีนอล ที่เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนรูปจากองุ่นสดเป็นน้ำ หรือไวน์ โดยสารที่ว่านี้ มีความสามรถในการกระตุ้นการทำงาน และบำรุงสมอง ทำให้ผู้ที่ได้รับสารนี้เข้าไปเป็นประจำ จะมีความจำที่ดี มีสุขภาพของสมองที่แข็งแรง แม้ว่าจะมีอายุมากก็ตาม ดังจะมีข่าวจากงานวิจัยของต่างประเทศ ที่พบว่า การดื่มไวน์องุ่นเป็นประจำในปริมาณที่พอเหมาะ หลังอาหาร จะช่วยให้สมองแข็งแรง และมีความจำ ตลอดจนการทำงานที่ดีมากกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม
– องุ่น ทุกประเภทจะมีกากอาหาร หรือไฟเบอร์สูงมาก ดังนั้น มันจึงช่วยในระบบการขับถ่าย ช่วยให้สามารถถ่ายได้คล่องมากขึ้น อุจจาระไม่จับเป็นก้อนแข็ง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคประเภทริดสีดวงทวาร นอกจากนั้นแล้ว องุ่นแห้ง หรือที่เรียกกันว่าลูกเกดนั้นสามารถใช้เป็นยาระบายอ่อนๆ เพื่อรักษาอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
– ในการวิจัยของทางต่างประเทศ สามารถระบุว่า องุ่น มีส่วนช่วยในการต่อต้าน หรือการป้องกันการเกิดของเซลล์มะเร็ง โดยในองุ่นจะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (ที่เรียกกันว่า ฟลาโวนอยด์) ซึ่งอนุมูลอิสระเหล่านั้นจะสามารถพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้นจึงพูดได้ว่า การรับประทานองุ่นเป็นประจำ จะช่วยในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้
– ในองุ่นมีสารอาหารที่ช่วยกระตุ้นการควบคุมความดันโลหิต โดยการกระตุ้นการสร้างไนตริกออกไซด์ ในเยื่อยุเส้นเลือดชั้นใน นอกจากนั้นแล้ว ยังช่วยลดการสะสมของคอเลสเตอรอลในเลือดได้ โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องรับประทานทั้งเปลือกและเมล็ด เพราะในเมล็ดนั้นจะมีสารอาหารที่มากกว่าเนื้อถึง 20 เท่า
– ในองุ่นนั้น มีน้ำตาลปะเภทดี ที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็วมาก โดยไม่เปลี่ยนไปเป็นพลังงาน ดังนั้น มันจึงมีฤทธิ์ ในการลดความเครียดได้อย่างชะงัด ซึ่งหากนำเอาองุ่นมารคั้นเป็นน้ำ แล้วดื่มเย็นๆ จะช่วยลดความเครียดที่เกิดขึ้น และทำให้ร่างกายผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับน้ำหวานต่างๆ ที่มักจะทำเป็นรสองุ่นนั่นเอง
– การกินองุ่น พร้อมเล็ด และเผลือก จะช่วยในการป้องกัน และรักษาอาการเจ็บคอที่เกิดจากอาการหวัด เป็นไข้ ไอเรื้อรังได้อย่างชะงัด โดยเฉพาะการไอแห้งที่เจ็บคอ ลองรับประทานองุ่นสดๆ จะลดอาการดังกล่าวลงได้
– องุ่น มีสรรพคุณในการลดกรดในกระเพาะอาหาร โดยสามารถลดความแน่นอืดเฟ้อหลังจากมื้ออาหารได้ เพียงรับประทานองุ่น หลังมื้ออาหารเป็นประจำ อาการอึดอัดอันเกิดจากอาการแน่นท้องนั้นก็จะค่อยๆ หายไป
– องุ่น มีฤทธิ์ในการป้องกันการเกิดของโรคหัวใจ หรืออาการหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ มันจึงเหมาะกับการเป็นอาหารของผู้ที่เป็นโรคหัวใจ อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่วมด้วย ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์

กล้วย ผลไม้พื้นๆ ที่ไม่ธรรมดา


กล้วยเป็นผลไม้ที่หากินได้ง่ายมากที่สุดประเภทหนึ่งในบ้านเรา เพราะกล้วยนั้นเป็นผลไม้เมืองร้อน ที่ปลูกง่ายได้ทุกพื้นที่ของประเทศ กล้วยที่ปลูกในประเทศไทยนั้นมีหลายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่ กล้วยตานี แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นกล้วยแบบไหน ก็ล้วยแล้วแต่มีประโยชน์กับร่างกายทั้งนั้น นอกจากนั้นแล้ว คนไทยยังมักนำเอากล้วยมาแปรรูปเป็นอาหารชนิดต่างๆ เช่น กล้วยบวดชี กล้วยตาก กล้วยฉาบ เป็นต้น กล้วว มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายอย่าง ซึ่งจะช่วยป้องกัน รักษาอาการผิดปกติต่างๆ ของร่างกาย ดังนี้
– กล้วย สามารถลดอาการปวดหัวอันเกิดจากโรคไม่เกรนได้อย่างชะงัด โดยเมื่อมีการเกิดปวดหัวไมเกรน แล้วกินกล้วยเข้าไป สารอาหารประเภทแม็กนีเซียม ที่อยู่ในกล้วย จะช่วยบรรเทา และระงับอาการปวดหัวลงได้ นอกจากนั้นแล้ว หากเป็นกล้วยที่แปรรูปเป็นอาหารบางชนิด เช่น ไอศกรีมกล้วยหอม ก็จะช่วยลดความเครียด อันเป็นหนึ่งในสาเหตุของไมเกรนลงได้อีกต่างหาก
– กล้วย มีกรดอะมิโน และทริปโตเฟน ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้สมองสร้างสารเซโรโทนิน ที่เป็นเหมือนสารระงับประสาทในสมอง ส่งผลให้เราสามารถนอลหลับได้ง่ายและหลับสบายไม่หลับๆ ตื่นๆ โดยเฉพาะคนที่นอนหลับยากๆ หรือเป็นโรคนอนไม่หลับนั้น ลองรับประทานกล้วยหลังอาหารมื้อเย็นดู แล้วจะรู้สึกว่าหลับได้ง่าย และหลับสนิทสบายดีมาก แต่แนะนำว่าควรเป็นกล้วยแบบสดๆ ไม่ควรเป็นกล้วยแปรรูป
– กล้วย เป็นแหล่งพลังงานที่ดของร่างกาย เพราะมีคาร์โบไฮเดรตปริมาณมาก (แต่เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยสลายได้ง่าย) นอกจากนั้น ในกล้วยยังมีวิตามินซีสูง ที่ช่วยให้ร่างกายมีความกระปรี้กระเปร่า ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือการออกกำลังกาย โดยแนะนำให้กินกล้วยก่อนไปทำงานตอนเช้า จะรู้สึกสดชื่น และสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หรือสำหรับใครที่อยากจะไปออกกำลังกาย รองท้องด้วยกล้วยหอม หรือกล้วยน้ำว่าก่อนสัก 1-2 ลูก จะช่วยให้ร่างกายมีความแกร่งและอึดสำหรับการออกกำลังกายมากเลยทีเดียว
– กล้วย มีสารอาหารที่เรียกว่า โพแทสเซียม ซึ่งจะช่วยปรับความดันของเลือด ให้อยู่ในระดับที่สมดุล ดังนั้นจึงสามารถพูดได้ว่า การกินกล้วยเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความดันโลหิต นอกจากนั้นกล้วยยังเป็นอาหารที่ลดความเครียดได้อย่างชะงัด เพราะเมื่อเกิดความเครียด ความดันโลหิตจะพุ่งสูงขึ้น สารอาหารโพแทสเซียม จะข้าไปปรับสมดุลตรงจุดนี้
– กล้วย โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้า มีไฟเบอร์ในปริมาณที่สูง ดังนั้น มันจึงสามารถ ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย การกินกล้วยเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้สามารถขับถ่ายได้ง่ายมากขึ้น ลดปัญหาเรื่องท้องผูก หรืออุจจาระแข็งตัว อันนำมาสู่สาเหตุของการเป็นโรคริดสีดวงทวารลงได้ นอกจากนั้นแล้ว กล้วยยังเป็นเป็นอาหารที่ปรับสมดุลในระบบลำไส้ กล้วยบางประเภทที่มีใยอาหารสูงๆ จะช่วยล้างเอาสารพิษ ที่ติดค้างในลำไส้ออกไปด้วย ในระหว่างการขับถ่าย
– กล้วย มีวิตามิน บี1 และ บี 2 ซึ่งเร่งการเผาผลาญ ไขมันและน้ำตาลที่อยู่ในร่างกาย ดังนั้น มันจึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังต้องการลดความอ้วน เพราะกล้วยนั้นมีคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่ง คือ มีสารอาหารที่ละลายน้ำได้ดี เมื่อเข้าไปอยู่ในท้องจึงสามารถพองตัว ให้อิ่มได้นาน นอกจากนั้นแล้วกล้วยยังมีคุณสมบัติในการลดความหยากของหวาน อันเป็นที่มาของความอ้วนได้อีกด้วย
– อย่างที่บอกไปว่า กล้วย มีสารโพแทสเซียมสูง ซึ่งส่งผลดีต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ โดยโพแทสเซียม จะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจลง นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงงหลอดเสือด สร้างความแข็งแรงให้กับหลอดเลือด ถือเป็นอาหารที่ดี สำหรับผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงจากโรคดังกล่าวลง
– กล้วยมีวิตามิน A สูงมาก ดังนั้นมันจึงช่วยในเรื่องของระบบประสาทสายตา โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการมองเห็นไม่ชัด พร่ามัว หรือดวงตาที่เหนื่อยล้า อาจจะลองกินกล้วยหลังมื้ออาหาร หรือรับประทานเป็นของว่างดู จะช่วยให้การทำงานของสายตาดีขึ้น ไม่ปวดหรือเมื่อยตา แต่อย่างไรก็ตาม ควรพักผ่อนให้เพียงพอด้วยเช่นกัน
– กล้วยมีสารที่เรียกว่า ฟรุกโตโอริโกแซคคาไลน์ เป็นสารที่ช่วยให้ลำไส้ดูดซึมสารแคลเซียม ที่ส่งผลดีต่อกระดูกได้

ผัก ธัญพืช ต้านโรคหัวใจ


โรคหัวใจ เป็นภาวะของโรคที่พบเห็นได้บ่อยมากในปัจจุบัน เพราะลักษณะนิสัย การดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิมของคนเรา คือเน้นการทำงานบนโต๊ะ หรือในออฟฟิศมากขึ้น แต่กลับกินอาหารที่มีพลังงานสูงเข้าไปในแต่ละมื้อแทน โดยเน้นความรวดเร็วแทน หรือที่เรียกกันว่า ฟาสต์ ฟู้ด ดังนั้นคนเราในปัจจุบัน จึงมักจะมีความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจสูงมาก อาการของโรคหัวใจเมื่อเกิดขึ้น จะส่งผลเสียกับร่างกาย เช่น เหนื่อยง่าย เพราะเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ ซึ่งอาจร้ายแรงจนทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีการป้องกันโรคหัวใจ ด้วยการรับประทานอาหารดังกลุ่มต่อไปนี้
1. อาหารประเภทปลา เช่นปลาทะเล หรือปลาน้ำจืด ที่มีไขมันพิเศษของปลาสูง เป็นต้นว่า ปลาดุก ปลาทูน่า ปลาช่อน ปลาแซลม่อน ฯลฯ ซึ่งในปลาเหล่านี้ จะมีสารที่เรียกว่า กรดไขมันโอเมก้า 3 (EPA และ DHA) ซึ่งจะช่วยลดระดับคอเรสเตอรอลในเลือดลงได้ นอกจากนั้นยังช่วยปรับระดับความยืดหยุ่นของเส้นเลือด และการไหลเวียนโลหิต ทำให้ลดความเสี่ยงในการสะสมของไขมันในเส้นเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจลงได้
2. น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว จะมีฤทธิ์ในการช่วยลดระดับ คอเรสเตอรอลที่ไม่ส่งผลดีต่อร่างกายหรือ LDL-C ลงได้ และจะเป็นตัวเพิ่มระดับคอเรสเตอรอล ที่ส่งผลดีต่อร่างกาย หรือ HDL-C ให้กับร่างกาย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยง ของการสะสมของไขมันในเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจลงได้
3. ผัก และผลไม้ ชนิดต่างๆ โดยเฉพาะผัก หรือผลไม้ที่มีสีสัน (เช่น เขียว ม่วง แดง) และสามารถกินพร้อมเปลือกได้ เพราะผัก-ผลไม้เหล่านี้ จะมีสารอาหารประเภทแร่ธาตุ และวิตามินต่างๆ ที่ส่งผลดีต่อร่างกายเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นแล้ว ในผักผลไม้ ยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลายชนิด รวมทั้งโรคหัวใจ ทั้งนี้เพราะสารต้านอนุมูลอิสระ จะไปช่วยยับยั้งการออกซิเดชั่นของคอเรสเตอรอล ที่เป็นผลเสียต่อร่างกายหรือ LDL-C ที่จะไปสะสมในหลอดเลือดลงได้
4. ธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และซีเรียล หรือขนมปังประเภทโฮลวีต จะให้สารอาหารที่เรียกว่าไฟเบอร์ ซึ่งเป็นคนละชนิดกับที่ได้จากผักและผลไม้ ไฟเบอร์พวกนี้ จะเป็นตัวยับยั้งและป้องกันไม่ให้เกิดอาการหัวใจวาย หรือหัวใจล้มเหลวได้ ดังนั้น หากเปลี่ยนจากข้าวหรืออาหารธรรมดา มากินพวกธัญพืช โฮลวีต ก็จะช่วยป้องกันอาการดังกล่าวลงได้ อย่างไรก็ตาม ควรกินควบคู่ไปกับผัก หรือผลไม้ และลดน้ำตาลลงได้จะดีที่สุด
5. ถั่วเมล็ดแห้งประเภทต่างๆ เช่น ถั่วลิสง อัลมอนต์ วอลนัท ฯลฯ ซึ่งในถั่วดังกล่าว จะมีกรดอะมิโนอาร์จินีนในอัตราสูง ช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงของหลอดเลือด ตลอดจนเป็นกรดที่ช่วยปรับระดับความสมดุล ของความดันโลหิต ตลอดจนในถั่วอัลมอนต์ และวอลนัต จะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว ที่ช่วยลดระดับ ควบคุมการสะสมของคอเรสเตอรอลประเภทที่ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย (LDL-C)
6. อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามี E จากธรรมชาติ เช่น อโวคาโด ผักสีเขียว หรือธัญพืชไม่ขัดสี น้ำมันรำข้าว ซึ่งวิตามิน E ในธรรมชาติเหล่านี้ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระค่อนข้างสูง ซึ่งจะช่วยในการป้องกันการอออซิเดชั่น หรือการสะสมของคอเรสเตอรอลประเภทที่ไม่ดีต่อร่างกาย (LDL-C) กล่าวคือการรับประทานผักและธัญพืชดังกล่าวนั้น จะช่วยลดการสะสมของไขมันในเส้นเลือดได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจลงได้เช่นกัน
7. สมุนไพร และเครื่องเทศบางชนิด เช่น กระเทียมสด ที่ใช้ในการประกอบอาหาร จะมีสารอาหารที่เรียกว่า อัลซินิน สารตัวนี้จะเป็นตัวที่คอยทำลาย และควบคุมระดับไขมันในเลือด ช่วยลดความเสี่ยงจากไขมันในเส้นเลือด ที่จะเปลี่ยนเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจลงได้ นอกจากนั้นแล้ว เครื่องเทศบางชนิด เช่น พริก จะมีสารแคปไซซิน ที่ช่วยลดการเกาะตัวของลิ่มเลือด และเพิ่มการละลายลิ่มเลือดที่แข็งตัว ทำให้ลดความเสี่ยง ในการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว อันเกิดจากการที่ลิ่มเลือดเข้าไปอุดตันในลิ้นหัวใจลง
8. ธัญพืชบางชนิด เช่น งา ถั่วพิสตาซิโอ้ หรือน้ำมันรำข้าว จะมีสารที่เรียกว่า ไพโทสตีรอล สูงมาก ซึ่งสารดังกล่าว จะช่วยลดการดูดซึมคอเรสเตอรอลในลำไส้เล็กลง ทำให้ระดับ LDL-C นั้นลดลงตามไปด้วย

อาหารและเครื่องดื่ม สำหรับแก้อาการเครียด


ความเครียด เป็นภาวะทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ที่มักเกิดขึ้นกับร่างกายของคนเรา ในยามที่เกิดความทุกข์ ความไม่สมหวัง ซึ่งนอกจากความเครียด จะส่งผลเสียต่อจิตใจ เช่น ทำให้ไม่ร่าเริง ไม่มีความสุขแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอาการผิดปกติของร่างกาย และความเจ็บป่วยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น โรคไม่เกรน โรคซึมเศร้า โรคกะเพาะอาหาร ฯลฯ ดังนั้น หากเกิดความเครียดขึ้นกับเราแล้ว จำเป็นจะต้องกำจัดออกไป ก่อนทีมันจะส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ
การกำจัดความเครียดนั้นมีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมผ่อนคลาย ต่างๆ การไปเที่ยว เป็นต้น และการเลือกกินอาหารที่เหมาะสม ก็สามารถที่จะลดความเครียดที่เกิดขึ้นได้ โดยอาหารที่เหมาะกับการกินเพื่อลดความเครียด มีดังต่อไปนี้
1. อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เป็นอาหารที่ช่วยในการลดความเครียดลงได้อย่างชะงัด ซึ่ง แนวคิดนี้มีงานวิจัยของต่างประเทศสนับสนุน โดยจากการทดลองสังเกตการณ์ พบว่า ในผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า สามารถลดความเครียดที่เกิดขึ้น หลังจากได้รับอาหารที่เป็นประเภทคาร์โบไฮเดรต และเมื่อให้อาหารประเภทนี้ต่อเนื่อง พบว่าพวกเขามีความร่าเริงมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นจึงสามารถเชื่อได้ว่า คาร์โบไฮเดรต มีส่วนสัมพันธ์ กับการลดความเครียด อย่างไรก็ตาม คาร์โบไฮเดรตที่เลือกกิน ควรเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ที่ได้จากธัญพืช เช่น โฮลวีต ข้าวโอ้ต ฟักทอง มันเทศ ฯลฯ จะดีต่อร่างกายมากกว่า
2. ปลาทะเลและปลาน้ำจืด เป็นอาหารอีกประเภทหนึ่ง ที่ช่วยลดความเครียดที่เกิดขึ้นได้ โดยจากงานวิจัยของหน่วยงาน National health and Nutrition Examination Survey ที่มีการทดลองผู้คนจำนวน 5,068 คน พบว่าหากให้กินอาหารที่ประกอบด้วยปลาประเภทต่างๆ จะช่วยลดความเครียดที่เกิดขึ้นกับพวกเขาได้ เพราะในเนื้อปลามีโอเมก้า 3 ที่ส่ลผลต่อการปรับสมดุลของสมอง และระบบประสาท ทำให้เป็นการปรับระดับของอารมณ์ ที่เกิดความเครียดไปด้วยในตัว ปลาที่มีโอเมก้า 3 สูงมากๆ ก้เช่น ปลากะพง ปลาสวายเนื้อขาว และปลาช่อน ซึ่งหาซื้อได้ทั่วไปตามตลาด
3. ผัก หรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง โดยวิตามินซีนั้น เป็นสารอาหารที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้านทานโรคมะเร็ง ความดัน และเพิ่มภูมิต้านทาน รักษาโรคจำพวกหวัด ละลายเสมหะ ฯลฯ และที่สำคัญคือ วิตามินซี มีส่วนช่วยในการปรับสมดุลให้ระบบต่างๆ ในร่างกาย ทำให้เกิดอาการผ่อนคลาย จึงทำให้มันเป็นสารอาหารที่ช่วยในการกำจัดความเครียดไปด้วยโดยปริยาย ผักที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผักใบเขียวประเภทต่างๆ ส่วนผลไม้ก็ จำพวกฝรั่ง ส้ม มะละกอ กล้วย อะโวกาโด้ เป็นต้น
4. อาหารที่มีวิตามิน บี สูง โดยสารอาหารประเภทวิตามิน บี 1-12 จะมีส่วนช่วยในการ ทำงานของระบบประสาท และช่วยในการปรับสมดุลของสภาวะทางอารมณ์ อาหารประเภทที่มีวิตามินบีสูง ได้แก่  ถั่ว และธํยพืช กล้วย ผักใบเขียว อะโวกาโด้ เป็นต้น
5. อาหารที่ให้สังกะสีและโพแทสเซียมสูง อาหารที่ให้สังกะสีสูง เช่น ไข่แดง อาหารทะเล ตับ ไขมัน งา เป็นต้น จะมีส่วนช่วยในการปรับสภาพอารมณ์ อันแปรปรวน การรับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำ จะช่วยปรับสมดุลของภาวะทางอารมณ์ได้เป็นอย่างดี และอาหารที่ให้โพแทสเซียม เช่น ก้วยหอม ส้ม แคนตาลูป มะเขือเทศ เหล่านี้ก็จะมีสรรพคุณ ในการช่วยปรับสมดุลของของเหลวในร่างกาย และการสื่อประสาทของสมอง ให้อยู่ในระดับที่ไม่เกิดความแปรปรวน
6. อาหารประเภทนมต่างๆ โดยในนมจะมีสารที่เปลี่ยนตัวเป็น โซโรโทนิน ที่ช่วยให้ร่างกายหลับสบาย และลดความเครียดที่เกิดขึ้น ตลอดจนช่วยให้จิตใจเกิดความสงบ นอนหลับง่าย ไม่กระสับกระส่าย ซึ่งการนอนไม่หลับก็เป็นสาเหตุหนึ่งของความเครียดนั่นเอง นอกจากนั้น ระหว่างนอนหลับ สารดังกล่าวจะช่วยในการปรับระดับความสมดุลของสมอง ช่วยให้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ เมื่อตื่นขึ้นจะมีความสดชื่น พร้อมสำหรับการทำกิจกรรมต่างๆ ของวัน
7. ชา และกาแฟ เป็นเครื่องดื่ม ที่มีสารคาเฟอีน ซึ่งจะช่วยในการกระตุ้นระบบประสาท ให้สดชื่น กระปรี้กะเปร่า โดยหากเกิดความเครียด ลองดื่มชา หรือกาแฟดู จะช่วยให้สมองสดชื่น พร้อมสำหรับการทำกิจกรรมต่างๆ แต่แนะนำว่าไม่ควรดื่มในปริมาณที่มากเกินไปเพราะจะส่งผลเสียให้กับร่างกายมากกว่า
8. ช็อกโกแลต อันนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายมาก เอาเป็นว่า หากเกิดความเครียด ให้ลองรับประทานช็อกโกแลตดู จะช่วยลดความเครียดลงได้อย่างดี แต่ช็อกโกแลตที่แนะนำ คือ ดาร์ก ช็อกโกแลต เพราะไม่มีไขมันเท่ากับช็อกโกแลตประเภทอื่นๆ นั่นเอง

ประโยชน์เหลือล้นของ สตรอเบอรี่


สตรอเบอรี่ เป็นผลไม้ในวงศ์กุหลาบ มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม แต่เดิมนั้นถูกใช้เพื่อปลูกคลุมดิน ต่อมาได้มีการนำเอาผลสตรอเบอรี่มารับประทานเป็นอาหาร และแปรรูปเป็นของกินอื่นๆ อีกหลากหลายชนิด สตรอเบอรี่ ที่นิยมปลูก คือสตรอเบอรี่สวน ซึ่งจะให้ผลที่ดก แดง และรสชาติดีมากกว่าพันธุ์อื่นๆ รสชาติของสตรอเบอรรี่ จะมีรสชาติที่หวานอมเปรี้ยว นิยมกินสด หรือแปรรูปเป็นอาหารอื่นๆ เช่น แยม ของหวาน หรือเครื่องดื่ม สำหรับการกินสตรอเบอรรี่ให้ได้ประโยชน์นั้น ควรกินสด ซึ่งสารอาหารในสตรอเบอรี่ จะมีสรรพคุณต่อร่างกายดังนี้
1. บำรุงสายตา แน่นอนว่า ปัญหาสุขภาพที่สำคัญของคนเราในทุกวันนี้ คือปัญหาเรื่องสายตา ที่มักจะเสื่อมเร็วขึ้น จากการใช้งานอย่างหนัก เช่น การทำงานที่ต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถืออยู่ตลอด นอกจากนั้นแล้ว เมื่อคนเราอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อของดวงตาก็จะเสื่อมลง เมื่อเกิดอาการดังกล่าว แนะนำให้รับประทานสตรอเบอรี่สด เพราะในสตรอเบอรี่สด จะมีกลดเอลลาจิก และกรดฟีโนลิก ที่จะช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา นอกจากนั้นแล้ว ในสตรอเบอรี่ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี และฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ สาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ของอาการกล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ
2. ป้องกันโรคเก๊าต์ และโรคข้ออักเสบ ต้องบอกว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ด้วยการใช้ชีวิตปัจจุบันทำให้ร่างกายนั้นเป็นที่สะสมของสารพิษที่เรียกว่า กรดยูริก ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเก๊าต์ ตลอดจนอาการที่ไขข้อของกระดูกส่วนต่างๆ ในร่างกายนั้นจะเกิดอาการอักเสบได้ง่าย อันมีสาเหตุจากของเหลวในข้อต่อแห้งไป ซึ่งอาการนี้ เรียกว่าโรคข้อเสบ เมื่อเกิดขึ้นมักจะทำให้เจ็บปวดและส่งผลเสียต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ดังนั้น เราสามารถป้องกันได้ด้วยการกินสตรอเบอรี่สด เป็นประจำ เพราะในสตรอเบอรี่สดนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก และมีสรรพคุณในการล้างพิษในร่างกายได้อย่างชะงัด
3. ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ แน่นอนว่าถ้าพุดถึงโรคมะเร็ง หลายๆ คนต้องเกิดอาการกลัวอย่างแน่นอน เพราะเป็นโรคที่ร้ายแรงมากโรคหนึ่ง ซึ่งการเกิดของโรคมะเร็งนั้นเกิดได้หลายจุด หลายอวัยวะของร่างกาย แต่เชื่อหรือไม่ว่า หากกินสตรอเบอรี่สดเป็นประจำทุกวัน ในปริมาณที่พอเหมาะแล้วล่ะก็ จะช่วยในการป้เองกันการเกิดโรคมะเร็งได้หลายประเภท ทั้งนี้เพราะในสตรอเบอรี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี โฟเลต และ แอนโธไซยานินส์ ซึ่งมีสรรพคุณในการยับยั้งการเกิดของเซลล์มะเร็ง
4. ช่วยในการทำงาน ของประสาทและสมอง และสามารถ ป้องกันความเครียดที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะในสตรอเบอรี่ มีสารไอโอดีน ที่ช่วยในการทำงานของประสาทและสมอง นอกจากนั้น ในสตรอเบอรี ยังมีน้ำตาลที่ไม่เป็นผลเสียต่อร่างกาย เพราะสามารถนำไปใช้งานได้ทันที ซึ่งน้ำตาลที่ว่านี้ จะช่วยในการลดความเครียดที่เกิดขึ้นได้ ถือเป็นอาหารว่าง หรือผลไม้ที่เหมาะจะกินเวลาเครียดเป็นที่สุด
5. สตรอเบอรี่ มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยง ของการเป็นโรคความดันโลหิต และช่วยในการหมุนเวียนของระบบเลือดในร่างกาย ตลอดจนสามารถลดความเสี่ยง ในการเป็นโรคหัวใจด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพราะในสตรอเบอรี่ 100 กรัม จะมีสารโพแทสเซียม ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูงถึง 153 มิลลิกรัม ดังนั้น สำหรับคนที่ไม่ต้องการพบกับเสี่ยงกับโรคดังกล่าว ควรรับประทานสตรอเบอรี่สด เป็นประจำทุกวัน จะช่วยป้องกันได้อย่างมาก แต่ต้องกินสตรอเบอรี่สด จึงจะได้ผลมากที่สุด
6.  ช่วยปรับสมดุล ในระบบขับถ่าย เพราะในสตรอเบอรี่ มีไฟเบอร์ หรือใยอาหาร ที่จะช่วยในการขับถ่าย ทำให้ขับถ่ายง่าย อุจจาระไม่เป็นก้อน ลดอาการท้องผูก ถ่ายยาก ช่วยป้องกันความเสี่ยงของโรคริดสีดวงทวาร
7. ป้องกันโรคหัวใจ อย่างที่บอกไปว่า ในสตรอเบอรี่ มีโพแทสเซียม มีสารโฟเลต วิตามีนบีประเภทพิเศษ ที่พบได้ยาก สารอาหารดังกล่าว มีส่วนในการลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย นอกจากนั้น วิตามินซี ยังช่วยในการสร้างความแข็งแรงของหลอดเลือดแดง ซึ่งจะช่วยในการป้องกันการสะสมของคอเรสเตอรอล อันเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจได้นั่นเอง